เนื้อวากิว (Wagyu) เป็นเนื้อวัวญี่ปุ่นที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายว่าเป็นเนื้อคุณภาพสูงและมีรสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร ซึ่งคำว่า “วากิว” นั้นมาจากการรวมคำในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า “เนื้อวัว” โดยตัว “วา” หมายถึง “ญี่ปุ่น” และ “กิว” หมายถึง “วัว”
ทำไมเนื้อวากิวถึงอร่อย?
เนื้อวากิวมีความพิเศษและได้รับการยกย่องว่าเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในโลก ความใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่การเลี้ยงจนถึงการผลิตคือสิ่งที่ทำให้เนื้อวากิวมีรสชาติและความอร่อยที่ยากจะหาใครเหมือน
1. ลายหินอ่อน (Marbling)
เนื้อลายหินอ่อน คือ เนื้อวากิวมีไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อเรียกว่า “Marbling” ที่ละเอียดและสมดุล ซึ่งไขมันนี้จะละลายเมื่อปรุงทำให้เนื้อนุ่มและเพิ่มรสชาติที่กลมกล่อม อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เนื้อวากิวแตกต่างจากเนื้อวัวทั่วไป
- จุดเด่นของเนื้อวากิวคือ ลายหินอ่อน หรือเส้นไขมันที่กระจายอยู่ทั่วเนื้อ เมื่อลายหินอ่อนมีความละเอียด ไขมันจะละลายเมื่อปรุง ทำให้เนื้อวากิวมีรสชาติที่นุ่มนวลและชุ่มฉ่ำ
- ไขมันในเนื้อวากิวไม่ได้หนักหรือเลี่ยน เพราะเป็นไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยเสริมให้เนื้อมีรสชาติอร่อยยิ่งขึ้น
2. การเลี้ยงดูวัวอย่างพิถีพิถัน
วัวที่เลี้ยงสำหรับเนื้อวากิวจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษตั้งแต่สภาพแวดล้อม อาหาร ไปจนถึงความผ่อนคลาย บางแห่งยังมีการเปิดเพลงคลาสสิกหรือให้การนวดเพื่อผ่อนคลายวัว ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพเนื้อที่ได้มีความละเอียด นุ่ม และรสชาติที่ดีขึ้น
- วัววากิวจะถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่สงบและสะอาด มีการคัดสรรอาหารอย่างดี เช่น ข้าวโพดและธัญพืช เพื่อให้วัวเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ วัวบางสายพันธุ์ยังได้รับการดูแลอารมณ์ เช่น การนวดหรือลดความเครียด ทำให้เนื้อวากิวมีคุณภาพสูง
- กรรมวิธีนี้ช่วยให้วัวผลิตเนื้อที่มีลายหินอ่อนละเอียดและมีความอ่อนนุ่ม
3. พันธุ์วัวเฉพาะ
วัวที่นำมาทำเนื้อวากิวเป็นวัวพันธุ์พิเศษ เช่นพันธุ์ญี่ปุ่นขนดำ (Japanese Black) ซึ่งมีความสามารถในการสะสมไขมันในเนื้อสูงกว่าวัวสายพันธุ์อื่น เนื้อชุ่มฉ่ำและหอมละมุน การปรุงเนื้อวากิวเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอให้ได้สัมผัสรสชาติอันหลากหลาย
4. คุณค่าทางโภชนาการที่ดี
เนื้อวากิวมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น กรดโอเลอิก ซึ่งเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและทำให้เนื้อมีรสชาติที่ละมุน อันเป็นเหตุผลที่เนื้อวากิวถูกมองว่ามีคุณค่าทางอาหารมากกว่าเนื้อวัวทั่วไป
เนื้อวากิวมีระดับคุณภาพอย่างไร?
เนื้อวากิวเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่ามีคุณภาพสูง และในญี่ปุ่นเนื้อวากิวยังมีระบบการจัดระดับคุณภาพที่ซับซ้อนเพื่อประเมินความยอดเยี่ยมและความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งระดับคุณภาพเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคเลือกเนื้อวากิวได้ตรงตามความต้องการและงบประมาณ โดยจะพิจารณาตามคุณสมบัติหลักๆ ดังนี้
1. ระดับเกรด (Grade)
เนื้อวากิวจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ A, B, และ C โดยเกรดนี้แสดงถึงอัตราผลผลิตของเนื้อจากส่วนต่างๆ ของวัว
- A หมายถึงผลผลิตสูงสุด
- B หมายถึงผลผลิตปานกลาง
- C หมายถึงผลผลิตต่ำสุด
2. ระดับคุณภาพ (Quality Score)
เนื้อวากิวยังถูกประเมินเพิ่มเติมในด้านคุณภาพด้วยการให้คะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 5 โดยพิจารณาจากคุณสมบัติ
- ลายหินอ่อน (Marbling): ยิ่งเนื้อมีลายหินอ่อนละเอียดเท่าใดก็ยิ่งได้รับคะแนนสูงขึ้น ลายหินอ่อนเป็นไขมันที่กระจายอยู่ในเนื้อที่ทำให้เนื้อมีรสชาติที่นุ่มละมุน
- สีของเนื้อ: เนื้อวากิวที่มีสีแดงสดจะได้คะแนนที่สูงกว่า
- ความนุ่มของเนื้อ: การสัมผัสเนื้อที่นุ่มเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ได้คะแนนสูง
- คุณภาพของไขมัน: ไขมันของเนื้อวากิวควรมีสีขาวและมีความหนาแน่นพอเหมาะ
3. ระดับคุณภาพสูงสุด คือ A5
เนื้อวากิวที่ได้รับเกรด A5 เป็นเนื้อวากิวที่ถือว่ามีคุณภาพสูงสุด ซึ่งเป็นการรวมกันของเกรด A และคะแนนคุณภาพ 5 จากแต่ละด้าน ถือว่าเป็นเนื้อวากิวที่มีความสมบูรณ์และหายาก
ตัวอย่างของเนื้อวากิวที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น
เนื้อวากิวที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นในระดับ A5 ได้แก่ เนื้อโกเบ (Kobe Beef), เนื้อมัตสึซากะ (Matsusaka Beef), เนื้อฮิดะ (Hida Beef), เนื้อโอมิ (Omi Beef) และเนื้อยามากาตะ (Yamagata Beef) ซึ่งมีเอกลักษณ์ในลักษณะของลายหินอ่อนและรสชาติที่โดดเด่นจากการเลี้ยงดูที่เป็นเอกลักษณ์
การจัดระดับคุณภาพของเนื้อวากิวนี้ช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าเนื้อที่ซื้อมีคุณภาพสมกับราคาและรสชาติที่เยี่ยมยอด นี่คือสิ่งที่ทำให้เนื้อวากิวได้รับการยกย่องว่าเป็นเนื้อที่อร่อยและมีคุณค่าทางอาหารที่สูง
ทั้งหมดนี้ทำให้เนื้อวากิวมีความพิเศษและได้รับการยกย่องว่าเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในโลก ความใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่การเลี้ยงจนถึงการผลิตคือสิ่งที่ทำให้เนื้อวากิวมีรสชาติและความอร่อยที่ยากจะหาใครเหมือน